วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ปราสาทนอยชวานสไตน์













ปราสาทนอยชวานชไตน์ (Schloß Neuschwanstein) เป็นปราสาทตั้งอยู่ในเทือกเขาแอลป์แถบแคว้นบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี สร้างในสมัยพระเจ้าลุดวิกที่ 2 แห่งบาวาเรีย ในช่วง ค.ศ. 1845-86 เป็นปราสาทที่งดงามมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก และเป็นต้นแบบของการสร้างปราสาทเทพนิยายเจ้าหญิงนิทรา ที่สวนสนุกดิสนีย์แลนด์ และโตเกียวดิสนีย์แลนด์ รวมไปถึงที่แดนเนรมิต

พระเจ้าลุดวิกที่ 2 แห่งบาวาเรียมีพระประสงค์ให้จัดสร้างเพื่อเป็นที่ประทับอย่างสันโดษ ห่างจากผู้คนและเพื่ออุทิศให้แก่กวี ริชาร์ด วากเนอร์ ผู้ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างให้เป็นไปตามบทประพันธ์เรื่อง อัศวินหงษ์ (Swan Knight Lohengrin) ดังนั้นปราสาทแห่งนี้จึงได้รับการตกแต่งตามเรื่องร่าวในบทประพันธ์ดังกล่าว ปราสาทแห่งนี้ได้รับการออกแบบโดย คริสเตียน แยงค์ (Christian Jank) ซึ่งเป็นนักออกแบบทางการละคร มากกว่าที่จะเป็นสถาปนิก








ทุกวันนี้มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเยี่ยมชมปราสาทแห่งนี้ถึงปีละ 1.3ล้านคน โดยมากถึงวันละ 6,000 คนในช่วงฤดูร้อน


ปราสาทนอยชวานสไตน์สร้างขึ้นบนยอดเขาลูกหนึ่ง ที่รายล้อมด้วยภูมิทัศน์ที่สวยงามของเทือกเขาแอลป์และทะเลสาบด้านล่าง จุดประสงค์ของการสร้างปราสาทนี้เพื่อให้ผสานกลมกลืนไปกับธรรมชาติอันงดงามรอบด้าน ปกติการสร้างปราสาทจะต้องมีสวนที่สวยงามเป็นบริเวณกว้าง มีการสร้างบ่อน้ำพุในสวน แต่นอยชวานสไตน์ไม่จำเป็นต้องมีสวน เพราะมีธรรมชาติอันน่าอัศจรรย์รายล้อมอยู่แล้ว ไม่ต้องมีน้ำพุ เพราะมีน้ำตกทางธรรมชาติอยู่ใกล้ ๆ






ปราสาทนี้สร้างขึ้นโดยพระเจ้าลุดวิกที่ 2





แห่งรัฐบาวาเรีย






พระเจ้าลุดวิกที่ 2 แห่งบาวาเรีย หรือ ลุดวิก ฟรีดิช วิลเฮลมที่ 2 แห่งบาเยิร์น (ภาษาอังกฤษ: Ludwig II of Bavaria; ภาษาเยอรมัน: Ludwig Friedrich Wilhelm II von Bayern) (25 สิงหาคม ค.ศ. 1845 - 13 มิถุนายน ค.ศ. 1886) ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินของราชอาณาจักรบาวาเรียระหว่างวันที่ 10 มีนาคม ปี ค.ศ. 1864 จนไม่กี่วันก่อนที่จะสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ปี ค.ศ. 1886

พระเจ้าลุดวิกที่ 2 แห่งบาวาเรีย บางครั้งรู้จักกันในพระนามว่า “พระเจ้าหงส์” (Swan King) ในภาษาอังกฤษ และ “พระเจ้าเทพนิยาย” (der Märchenkönig) ในภาษาเยอรมัน ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ. 1845 ที่วังนิมเฟนเบิร์ก นอกเมืองมิวนิค ในแคว้นบาวาเรีย ประเทศเยอรมนีปัจจุบัน ทรงเป็นพระราชโอรสองค์แรกของสมเด็จพระเจ้าแม็กซิมิเลียนที่ 2 แห่งบาวาเรีย และ เจ้าหญิงมารีแห่งปรัสเซีย ทรงครองราชย์ระหว่างวันที่ 10 มีนาคม ปี ค.ศ. 1864 ถึงวันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 1886 พระเจ้าลุดวิกที่ 2 สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 1886 ที่ทะเลสาบสตาร์นเบิร์ก พระร่างถูกฝังไว้ที่วัดเซนต์ไมเคิล ที่มิวนิคในคริพต์ของราชวงศ์วิทเทิลสบาค

พระเจ้าลุดวิกทรงเป็นบุคคลที่มีลักษณะนิสัยที่ลึกลับเป็นปริศนา (eccentric) และผู้ที่สิ้นพระชนม์ในสถานะการณ์ที่ค่อนข้างมีเงื่อนงำ สุขภาพจิตของพระองค์ในบั้นปลายอาจจะไม่ปกติแต่ก็ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่เป็นที่ยืนยันได้แน่นอน แต่สิ่งที่ทรงทิ้งไว้เป็นมรดกแก่ชนรุ่นหลังคืองานทางสถาปัตยกรรมที่ทรงก่อสร้างที่รวมทั้งวังและปราสาทใหญ่โตที่ทั้งหรูหราโอ่อ่าและเต็มไปด้วยจินตนาการราวเทพนิยายหลายแห่ง รวมทั้งปราสาทนอยชวานชไตน์ซึ่งเป็นปราสาทที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก และทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ริชาร์ด วากเนอร์ คีตกวีและนักเขียนดนตรีโอเปร่าคนสำคัญของเยอรมนี











พระเจ้าลุดวิกขึ้นครองราชบัลลังก์บาวาเรียเมื่อพระชันษาได้เพียง 18 ปึหลังจากที่พระบิดาสิ้นพระชนม์ เมื่อทรงขึ้นครองราชย์ลุดวิกยังไม่พร้อมที่จะเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว การสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าแม็กซิมิลเลียนที่ 2 เป็นไปอย่างกระทันหันหลังจากประชวรได้เพียงสามวัน เพราะความที่ยังหนุ่มและมีพระโฉมงามทำให้ทรงเป็นที่นิยมทั้งในบาวาเรียและที่อื่นๆ ในบรรดาสิ่งแรกที่ทรงกระทำคือทรงเรียกตัววากเนอร์มายังราชสำนักมิวนิค ลุดวิกทรงชื่นชมผลงานของวากเนอร์มาตั้งแต่ทรงได้ชมโอเปร่าโลเฮนกริน (Lohengrin) ของวากเนอร์ วากเนอร์ผู้ซึ่งขณะนั้นอายุ 51 ปีก็ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าลุดวิกเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 1864 เหตุที่โอเปร่าของวากเนอร์เป็นที่ต้องพระทัยลุดวิกก็เป็นเพราะเนื้อหาของโอเปร่าของวากเนอร์เต็มไปด้วยอุดมคติและจินตนาการแบบเทพนิยาย วากเนอร์มีชื่อเสียงไม่ค่อยดีเรื่องหนี้สินและมักจะมีเจ้าหนี้ไล่ตามอยู่เรื่อยๆ แต่วากเนอร์ก็มาได้พระเจ้าลุดวิกช่วยถ่ายถอนหนี้ให้ วากเนอร์กล่าวถึงลุดวิกว่า:

“Alas, he is so handsome and wise, soulful and lovely, that I fear that his life must melt away in this vulgar world like a fleeting dream of the gods.”
เป็นที่เชื่อกันว่าถ้าไม่ได้พระเจ้าลุดวิก วากเนอร์คงจะไม่ได้เขียนโอเปร่าชิ้นต่อๆ มา ลุดวิกทรงเรียกวากเนอร์ว่า “เพื่อน” แต่ความที่วากเนอร์มีนิสัยอันโอ่อ่าฟุ่มเฟือยของ จึงทำให้วากเนอร์ไม่เป็นที่ต้องใจของชาวบาวาเรียผู้ยังออกจะหัวโบราณ ในที่สุดลุดวิกก็ต้องขอให้วากเนอร์ออกจากเมือง

สิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในระยะแรกที่ขึ้นครองราชย์คือความกดดันในการมีผู้สืบราชบัลลังก์ต่อจากพระองค์ และความสัมพันธ์กับปรัสเซีย ทั้งสองสถานะการณ์กลายมาเป็นปัญหาใหญ่ในปี ค.ศ. 1867 เมื่อพระเจ้าลุดวิกทรงหมั้นกับดัชเชสโซฟี ชาร์ลอตในบาวาเรีย ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของลุดวิกเองและเป็นพระขนิษฐาของดัชเชสเอลิซาเบธ การหมั้นประกาศเป็นทางการเมื่อวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 1867 แต่ทรงเลื่อนวันแต่งงานไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ทรงถอนหมั้นในเดือนตุลาคม หลังจากการประกาศการถอนหมั้น โซฟีก็ได้รับพระราชสาส์นจากลุดวิกถึง “เอลซา” กล่าวโทษพระบิดาของโซฟีว่าเป็นผู้ที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับโซฟีไม่สามารถดำเนินต่อไปได้และทรงลงพระนามว่า “ไฮน์ริค” (“เอลซา” และ “ไฮน์ริค” เป็นตัวละครจากโอเปร่าของวากเนอร์ ลุดวิกมิได้ทรงเสกสมรสจนตลอดพระชนมายุ โซฟีต่อมาทรงเสกสมรสกับเฟอร์ดินานด์ ฟิลลีป มารี, ดยุ้คแห่งอาลองชอง

เมื่อลุดวิกเป็นพันธมิตรออสเตรียในการต่อสู้กับปรัสเซียในสงครามเจ็ดปี ทรงพ่ายแพ้สงคราม สัญญาสงบศึกบังคับให้พระองค์ต้องยอมรับสนธิสัญญาการรักษาความสงบระหว่างปรัสเซียกับบาวาเรียในปี ค.ศ. 1867 สนธิสัญญาระบุว่าบาวาเรียต้องเข้าข้างปรัสเซียเพื่อต่อสู้กับฝรั่งเศสในสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย นอกจากนั้นในปี ค.ศ. 1870 ออตโต ฟอน บิสมาร์คก็ยังขอให้ลุดวิกเขียนจดหมายสนับสนุนเรียกร้องให้ประกาศพระเจ้าวิลเฮล์มที่ 1 แห่งปรัสเซียเป็นจักรพรรดิ หรือ ไกเซอร์ของจักรวรรดิเยอรมันที่เพิ่งก่อตั้งขึ้น ลุดวิกได้รับเงินเป็นการตอบแทนในการสนับสนุนแต่เป็นการกระทำที่ลุดวิกต้องจำยอม การก่อตั้งจักรวรรดิเยอรมันทำให้บาวาเรียที่เคยเป็นแคว้นอิสระกลายมาเป็นแคว้นชั้นรอง เมื่อตั้งจักรวรรดิเยอรมันขึ้นความเป็นอิสระแก่ตัวของแคว้นบาวาเรียก็สิ้นสุดลงตามไปด้วย ลุดวิกทรงประท้วงโดยการไม่ทรงเข้าร่วมพิธีการสถาปนาพระเจ้าวิลเฮล์มที่ 1 แห่งปรัสเซียขึ้นเป็นจักรพรรดิเยอรมันที่พระราชวังแวร์ซายส์ในปารีส

ตลอดรัชสมัยลุดวิกทรงมีความสัมพันธ์กับผู้ชายต่อเนื่องกันมาตลอด โดยเฉพาะกับริชาร์ด ฮอร์นนิก ราชอัศวรักษ์, โจเซฟ แคนซ์นักแสดงชาวฮังการี, อัลฟอนส เวบเบอร์ ข้าราชสำนัก ในปี ค.ศ. 1869 ทรงเริ่มทรงบันทึกประจำวันที่ทรงบรรยายความรู้สึกส่วนพระองค์ และการทรงพยายามหยุดยั้งหรือควบคุมความต้องการทางเพศ และการที่ยังทรงยึดมั่นในความเป็นโรมันคาทอลิกอย่างแท้จริง บันทึกประจำวันฉบับดั้งเดิมสูญหายไประหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 บันทึกที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็นสำเนาที่เขียนก่อนสงคราม สำเนาบันทึกประจำวันและจดหมายส่วนพระองค์เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าลุดวิกต้องทรงต่อสู้กับพระองค์เองในความเป็นผู้รักเพศเดียวกันตลอดพระชนมายุ

เมื่อบาวาเรียสูญเสียอิสรภาพลุดวิกก็ยิ่งกลายเป็นคนสันโดษมากขึ้นจากการออกท้องพระโรงและกับทำหน้าที่การปกครอง ในปี ค.ศ. 1880 ลุดวิกใช้เวลาเกือบทั้งหมดอย่างโดดเดี่ยวที่บริเวณเทือกเขาบาวาเรียแอลป์ซึ่งเป็นที่ทรงสร้างพระราชวังแบบเทพนิยายหลายแห่งโดยความช่วยเหลือของคริสเตียน แย้งค์ผู้ออกแบบฉากละคร ทรงสร้างปราสาทนอยชวานชไตน์ทางเหนือซอกเขาโพลลัทไม่ไกลจากปราสาทโฮเฮ็นชวานเกาที่เคยทรงพำนักเมื่อยังทรงพระเยาว์ วังลินเดอร์ฮอฟ (Linderhof Castle) ตั้งอยู่ที่หุบเขากรสแวงที่สร้างแบบหลุยส์ที่ 14 และเป็นปราสาทเดียวในสามปราสาทที่สร้างเสร็จ ปราสาทที่สามที่ทรงสร้างแต่ไม่เสร็จเช่นกันคือวังแฮเร็นเคียมเซ (Herrenchiemsee) ที่ตั้งอยู่บนเกาะแฮเร็นในทะเลสาบเคียมเซ บางส่วนสร้างแบบพระราชวังแวร์ซายส์ในฝรั่งเศส ลุดวิกทรงสร้างปราสาททั้งสามเพื่อเป็นเทิดทูนตำนานนอร์ดิคเรื่องโลเฮ็นกริน (Lohengrin), ทริสทันและอิโซลด์ (Tristan and Isolde) และ แหวนแห่งนิเบลลุงเก็น (Der Ring des Nibelungen)

การถูกถอดจากบัลลังก์และการสิ้นพระชนม์
พระเจ้าลุดวิกที่ 2 ในบั้นปลายของชีวิต
กางเขนอนุสรณ์ ณ ที่พบพระศพของพระเจ้าลุดวิกที่ทะเลสาบสตาร์นเบิร์กเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1886 รัฐบาลบาวาเรียแถลงข่าวอย่างเป็นทางการว่าพระเจ้าลุดวิกถูกปลดจากการเป็นพระมหากษัตริย์เพราะไม่ทรงมีความสามารถใช้อำนาจด้วยพระองค์เองได้ ตามคำรายงานของจิตแพทย์ 4 คนที่บรรยายพระอาการว่าเป็นโรคหวาดระแวงทางจิต[11] แต่ในประกาศมิได้กล่าวถึงการตรวจทางพระวรกาย และแต่งตั้งให้เจ้าชายลุทโพลด์แห่งบาวาเรียพระปิตุลาเป็นผู้สำเร็จราชการแทน ศาสตราจารย์เบิร์นฮาร์ด ฟอน กุดเด็นเป็นหัวหน้ากลุ่มจิตแพทย์ที่ให้คำบรรยายพระอาการทางจิต โดยใช้ “หลักฐาน” จากรายงานต่างๆ ที่รวบรวมมาจากข้าราชบริพารในพระราชสำนักและศัตรูทางการเมืองที่เกี่ยวกับพระจริยาวัตรที่ถือว่าแปลก หลักฐานที่กล่าวเป็นเพียงคำบอกเล่าซึ่งอาจจะได้มาจากการติดสินบนหรือการขู่เข็ญ ฉะนั้นความน่าเชื่อถือของหลักฐานเหล่านี้จึงยังเป็นที่เคลือบแคลง นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าพระเจ้าลุดวิกไม่มีอะไรผิดปกติแต่ทรงเป็นเหยื่อทางการเมือง บางคนก็เชื่อว่าพระจริยาวัตรที่แปลกของพระเจ้าลุดวิกอาจจะเป็นผลมาจากการที่ทรงใช้คลอโรฟอร์มในการบำบัดการปวดพระทนต์ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ แทนที่จะเป็นอาการผิดปกติทางจิตวิทยาอย่างที่จิตแพทย์อ้าง ดัชเชสเอลิซาเบธแห่งบาวาเรียทรงออกความเห็นว่าพระเจ้าลุดวิกไม่ได้ทรงเป็นโรคจิตแต่เพียงแต่มีพระลักษณะนิสัยที่ออกไปทางลึกลับและเป็นปริศนา (eccentric) และทรงชอบอยู่ในโลกของความฝันและจินตนาการ และทรงกล่าวว่าถ้าพวกที่กล่าวหาจะปฏิบัติต่อพระเจ้าลุดวิกนุ่มนวลกว่านั้น เหตุการณ์ก็คงจะไม่ลงเอยด้วยความเศร้าอย่างที่เกิดขึ้น

หลังการประกาศพระเจ้าลุดวิกก็ถูกนำตัวไปจากนอยชวานชไตน์ที่เป็นที่ทรงประทับในขณะนั้นไปยังปราสาทเบิร์กริมทะเลสาบสตาร์นเบิร์กอย่างลับๆ หลังจากที่รัฐบาลพยายามที่จะจับกุมพระองค์หลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ ครั้งแรกที่พยายาม ลุดวิกก็สั่งจับผู้ที่จะมาจับพระองค์และทรงขู่ว่าจะลงโทษผู้ที่ทรงถือว่าเป็นกบฏต่างๆ นาๆ แต่ก็มิได้ทรงทำจริง นอกจากจะขังผู้ที่จะมาจับไว้ในปราสาทแต่ต่อมาก็ถูกปล่อย ต่อมาเมื่อพยายามอีกประชาชนจากหมู่บ้านใกล้ๆ นอยชวานชไตน์ก็ยกกำลังกันมาป้องกันพระองค์ และถวายคำเสนอว่าจะพาพระองค์หนีข้ามพรมแดนแต่ทรงปฏิเสธ และอีกครั้งหนึ่งกองทหารจากเค็มพตันถูกเรียกตัวมานอยชวานชไตน์แต่ก็มาถูกกักโดยรัฐบาล

ลุดวิกทรงพยายามเรียกร้องโดยตรงต่อประชาชนโดยเขียนบทความในหนังสือพิมพ์:

“เจ้าชายลุทโพลด์ทรงตั้งใจจะขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการในแผ่นดินของข้าพเจ้าโดยมิใช่เป็นความตั้งใจของข้าพเจ้า และรัฐมนตรีต่างกล่าวหาในเรื่องสถานะภาพทางจิตใจของข้าพเจ้าอย่างผิดๆ เพื่อที่จะหลอกลวงประชาชนที่รักของข้าพเจ้า และ (รัฐบาล) พร้อมที่จะเป็นกบฏ [...] ข้าพเจ้าขอให้ชาวบาวาเรียผู้จงรักภักดีให้ช่วยเรียกร้องและสนับสนุนผู้ที่สนับสนุนและมีความจงรักภักดีต่อข้าพเจ้า เพื่อให้แผนในการกบฏต่อกษัตริย์และแผ่นดินประสบความล้มเหลว”
คำประกาศนี้ลงพิมพ์โดยหนังสือพิมพ์ที่แบมเบิร์กเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ปี ค.ศ. 1886 แต่ถูกยึดโดยรัฐบาลเพราะความกลัวจากผลของการเผยแพร่ข้อเขียนนั้น โทรเลขถึงนักหนังสือพิมพ์และเพื่อนของลุดวิกเกือบทุกชิ้นถูกรัฐบาลสั่งสกัดกั้นทั้งสิ้น แต่ลุดวิกได้รับสาส์นจากออตโต ฟอน บิสมาร์คให้เดินทางไปมิวนิคเพื่อไปปรากฏพระองค์ต่อประชาชน แต่ลุดวิกทรงมีความรู้สึกว่าไม่สามารถจะทำได้ ซึ่งเป็นการตัดสินชะตาของพระองค์เอง รุ่งขึ้นวันที่ 12 มิถุนายนคณะกรรมการจากรัฐบาลกลุ่มที่สองก็มาถึงปราสาท พระเจ้าลุดวิกทรงถูกจับเมื่อเวลาตีสี่และถูกนำตัวขึ้นรถม้า ทรงถามด็อกเตอร์กุดเด็นผู้เป็นผู้นำคณะกรรมการว่าทำไมจึงประกาศว่าพระองค์วิกลจริตได้ในเมื่อด็อกเตอร์กุดเด็นก็ไม่เคยตรวจพระองค์ แต่อย่างไรก็ตามพระเจ้าลุดวิกก็ถูกนำตัวจากนอยชวานชไตน์ไปยังปราสาทเบิร์กบนฝั่งทะเลสาบสตาร์นเบิร์กทางใต้ของมิวนิคในวันนั้น

การสิ้นพระชนม์ของลุดวิกที่ทะเลสาบสตาร์นเบิร์กเป็นเรื่องที่ยังที่น่าสงสัยกันอยู่ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ปี ค.ศ. 1886 เวลาหกโมงเย็นลุดวิกทรงขอออกไปเดินกับด็อกเตอร์กุดเด็น ด็อกเตอร์กุดเด็นตกลงและสั่งไม่ให้ยามเดินตามไปด้วย ทั้งลุดวิกและด็อกเตอร์กุดเด็นไม่ได้กลับมาจากการเดิน คืนเดียวกันร่างของทั้งสองคนก็พบลอยน้ำใกล้ฝั่งทะเลสาบสตาร์นเบิร์กเมื่อเวลาห้าทุ่ม หลังจากที่สิ้นพระชนม์ก็มีการสร้างชาเปลเพื่อเป็นอนุสรณ์ตรงที่พบพระศพ ทุกวันที่ 13 มิถุนายนของทุกปีจะมีพิธีรำลึกถึงพระองค์

รัฐบาลประกาศว่าการสิ้นพระชนม์ของลุดวิกเป็นการฆ่าตัวตายโดยการจมน้ำตาย ซึ่งไม่เป็นความจริง สาเหตุการสิ้นพระชนม์ของลุดวิกไม่เคยมีการอธิบายอย่างเป็นจริง เป็นที่ทราบกันว่าพระเจ้าลุดวิกทรงว่ายน้ำแข็งและที่บริเวณที่พบพระศพน้ำก็ลึกเพียงแค่เอว รายงานการชันสูตรพระศพก็บ่งว่าไม่มีน้ำในปอด จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะสิ้นพระชนม์โดยการจมน้ำตาย สาเหตุการสิ้นพระชนม์ยังคงเป็นปริศนามาจนทุกวันนี้เพราะราชวงศ์วิทเทิลสบาคยังไม่ยอมให้แก้ปัญหา สาเหตุการสิ้นพระชนม์จึงมีด้วยกันหลายทฤษฏี ทฤษฏีเชื่อกันว่าลุดวิกถูกลอบปลงพระชนม์โดยศัตรูขณะที่ทรงพยายามหนีจากเบิร์ก และอ้างกันว่าทรงถูกยิงตาย แต่เจคอป ลิเดิลนักตกปลาประจำพระองค์กล่าวว่าสามปีหลังจากที่สิ้นพระชนม์ ลิเดิลถูกบังคับให้สาบานว่าจะไม่เอ่ยปากกับใครถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ลิเดิลก็ไม่ได้กล่าวอะไรกับใครแต่ทิ้งบันทึกที่มาพบเอาหลังจากที่ลิเดิลเสียชีวิตไปแล้ว ในบันทึกกล่าวว่าตัวลิเดิลเองซุ่มรอลุดวิกอยู่ในเรือที่จะพาพระองค์ไปกลางทะเลสาบเพื่อจะไปสมทบกับผู้ที่จะช่วยหลบหนีคนอื่นๆ แต่เมื่อทรงก้าวมาทางเรือ ลิเดิลก็ได้ยินเสียงปืนจากฝั่ง ลุดวิกล้มลงมาในเรือและสิ้นพระชนม์ทันที อีกทฤษฏีหนึ่งสันนิษฐานว่าลุดวิกสิ้นพระชนม์ตามธรรมชาติอาจจะจากหัวใจวายหรือเส้นโลหิตในสมองแตก ระหว่างที่ทรงพยายามหลบหนีเพราะอากาศที่ทะเลสาบเย็น บางคนก็เชื่อว่าสิ่งที่ง่ายที่สุดในการเฉลยปัญหานี้คือการชันสูตรพระศพใหม่ เพื่อจะได้รู้กันเป็นที่แน่นอน เพราะถ้าทรงถูกยิงจริงก็เป็นสิ่งที่ง่ายที่จะพบแม้ว่าจะเกิดขึ้นนานมาแล้วก็ตาม

ร่างของลุดวิกทรงเครื่องแบบเต็มยศของ Order of the Knights of St. Hubert และตั้งที่ชาเปลหลวงที่วังหลวงที่มิวนิค ในมือขวาทรงถือช่อดอกมะลิที่ดัชเชสเอลิซาเบธทรงเก็บให้ หลังจากพิธีที่จัดอย่างสมพระเกียรติร่างของลุดวิกยกเว้นหัวใจก็ถูกนำไปไว้ในคริพต์ที่วัดเซนต์ไมเคิลที่มิวนิค ตามประเพณีของบาวาเรียหัวใจของกษัตริย์จะใส่ในผอบเงินและส่งไปที่ชาเปลกนาเด็น (Gnadenkapelle) ที่ Chapel of the Miraculous Image ที่อาลเทิททิง ผอบของลุดวิกตั้งอยู่ข้างพระบิดาและพระอัยยิกาภายในชาเปล



เครดิต:http://th.wikipedia.org/wiki/
http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1313884
http://www.beautiful-castle.ob.tc/Neuschwanstein/Wagner.gif
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/a/a5/De_20_jarige_Ludwig_II_in_kroningsmantel_door_Ferdinand_von_Piloty_1865.jpg/246px-De_20_jarige_Ludwig_II_in_kroningsmantel_door_Ferdinand_von_Piloty_1865.jpg

วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Fic Singular ตอนพิเศษ

หลังจากที่อัลบั้มของพวกเราได้วางแผงไปไม่นาน พวกเราก็กลายเป็นที่รู้จัก และมีงานเดินสายเข้ามาไม่หยุดไม่หย่อน รวมถึงวันนี้ด้วย แต่วันนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยสบาย ที่จริงรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวมาตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก กินยาดักไปแล้วเมื่อวาน แต่ระหว่างที่นั่งในรถตู้มาผมเริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมาบ้าง จนถึงร้านอาหารที่เราจะไปกินก่อนขึ้นโชว์

“ซิน เป็นไรอ่ะ ทำไมไม่กิน”เสียงพี่ม่อนมือเบสเอ่ยถามเพราะตั้งแต่เข้าร้านมาผมยังไม่ได้แตะต้องอาหารในจานเลย

“ซินปวดหัวนิดหน่อยพี่ ไม่เป็นไรหรอก”ผมตอบพลางหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบ

“เหรอๆ ก็กินข้าวซะสิ จะได้ก้นยา ใครเอายามาบ้างวะ”พี่ม่อนหันไปถามผู้ร่วมโต๊ะรายอื่นๆที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินอย่างเดียว

“ไอ้นัทมันมีเดี๋ยวมันกลับจากห้องน้ำค่อยขอมันดิ ซิน”บอยมือคีย์บอร์ดบอกทั้งๆที่อาหารยังเต็มปากอยู่

ผมนั่งรอสักพักนัทเดินมาจากห้องน้ำ ผมจะรอให้มันนั่งเรียบร้อยก่อนจะบอกที่ไหนได้พอนั่งปุ๊ปมันก็โกยโน่นหยิบนี่ลงจานมัน อย่างกับคนไม่เคยเจอของกิน สงสัยเข้าห้องน้ำเมื่อกี้ไปเอาของเก่าออกแน่เลย

“นัท เดี๋ยวขอยาพาราหน่อยนะ”ผมสะกิดบอกมัน แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ยินทั้งๆที่เราสองคนนั่งติดกัน

“นัทเดี๋ยวขอยาพาราหน่อยได้มั้ย?”ผมดึงแขนมันที่กำลังจิ้มกุ้งจะเข้าปากจนเจ้าตัวต้องเบนความสนใจมาที่ผมจนได้

“ได้ๆๆ อยู่ในรถตู้เดี๋ยวขึ้นรถจะหยิบให้”มันตอบรับแถมยังยกกุ้งในมือให้ผมด้วย

ตอนนี้เคี้ยวข้าวไม่ค่อยไหวแล้วล่ะครับ ปวดหัวมากขึ้นด้วย รอคอยแต่ยาพาราของนัทมันเผื่อจะช่วยให้ผมหายปวดลงได้บ้าง พอกินข้าวเสร็จทางร้านที่เราจะไปโชว์ก็โทรมาตามพอดีพวกเราจึงต้องรีบกันใหญ่ พอขึ้นรถตู้ผมก็ได้แต่นั่งปวดหัวอยู่คนเดียว ทุกคนลืมกันไปหมดเลยว่าผมปวดหัว แม้แต่นัททั้งที่นั่งข้างผมทั้งที่กุมมือผมอยู่ตลอดเวลากลับลืมที่จะหยิบยาให้ผม ผมขอไปแล้วครั้งนึง ผมจะไม่ขอซ้ำล่ะนะ ผมถือว่าขอไปแล้ว ถ้าผมไม่ไหว จะล้มคาเวทีให้ดู ไม่เคยใส่ใจกันบ้างเลย ปล่อยให้ร้องเองให้เข็ด ทีหลังจะได้ใส่ใจกันบ้าง ผมก็ได้แต่คิดฟุ้งซ่านไปคนเดียว จ้องหน้านัทในความมืด แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่รู้สึกเลยซักนิดก็ตาม


ผมจะคอยดูว่าเมื่อไหร่ที่นัทจะจำได้ว่าผมขอยาพารา


รถตู้เคลื่อนมาใกล้จะถึงร้านที่เราจะโชว์ ผมรู้สึกว่านัทเหมือนกำลังจะล้วงอะไรบางอย่างจากกระเป๋า และผมก็หวังว่ามันจะเป็นยาพาราที่ผมต้องการ

“ซิน หมากฝรั่งมั้ย? เมื่อกี้กินกุ้งมาคาวแย่เลย” ความหวังหมดสิ้นดับสลายตั้งแต่คำแรกที่ออกมาจากปากมันผมแทบอยากจะกรี๊ด

“ไม่........นัท..................”ผมแทบอยากจะตะโกนออกไปว่าผมอยากได้ยาพาราเพราะตอนนี้ปวดหัวจะระเบิดแล้ว แต่ผมกลับไม่บอก รู้ว่าทิฐิบัง แต่ก็จะให้บังล่ะครับ ผมจะรอจนกว่านัทจะหยิบยามาให้ผมเอง

“หืมม์...อะไรเหรอ?”ยังมีหน้ามาถาม

“ไม่มีอะไร กินหมากฝรั่งไปเถอะ”ไอ้หน้ามึนเอ้ย คนอะไรไม่มีความรู้สึกซะเลย ทำหน้าแบบนี้แล้วหมั่นไส้



หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลย ความจริงผมโกรธแล้วนะครับ ผมพูดกับมันน้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ แม้แต่ตอนอยู่บนเวที ผมก็หันไปสบตามันให้น้อยที่สุดทำทุกอย่างให้น้อยที่สุดเพื่อผมจะได้ไม่ปวดหัวเพิ่มและเพื่อให้ไอ้หน้ามึนนั้นรับรู้ซะทีว่าผมโกรธ โชคดีที่เสียงดนตรีที่เราเล่นนั้นเป็นแนวผ่อนคลายมันเลยพอจะทุเลาความปวดหัวของผมไปได้บ้าง จนถึงเวลาเล่นเสร็จ ก็ใช่ว่าจะเสร็จจริงๆ เรายังต้องทักทายแฟนคลับ หรือ ขอบคุณเจ้าของร้านที่จ้างเรามาอีก ผมเข้าใจแฟนคลับนะ ก็อยากอยู่กับศิลปินที่เราชอบ แต่ผมปวดหัวมากจริงๆ ไม่มีอารมณ์เล่นใดๆทั้งสิ้นได้แต่ยิ้มๆแล้วก็รับของฝาก เซนต์หน้าปกซีดีบ้าง แล้วก็เดินขึ้นรถตู้ไป ผมยอมรับว่าวันนี้ผมทำเป็นมองไม่เห็นแฟนคลับหลายคนไม่ใช่เพราะหยิ่งนะครับ แต่ผมไม่ไหวแล้วจริงๆ ปวดหัวมากจนลามไปถึงปวดตาแล้วด้วย



พอขึ้นรถก็เป็นเหมือนเดิมครับ ยังไม่มีใครสนใจนักร้องนำเหมือนเดิม คนอื่นผมเดาว่าต้องหลับกันบ้างเพราะนี่ก็ดึกแล้ว ส่วนนัทรายนั้นนั่งไม่รู้เรื่องแม้ว่าจะจับมือผมไว้เหมือนที่เคยทำผ่านๆมาแต่มันก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย ผมจะตายคารถตู้มั้ยเนี่ย หัวก็แทบจะระเบิด คนที่คิดว่าแคร์เราที่สุดกลับเหมือนไม่เคยสนใจเราเลยสักนิด ผมมองมือหนาๆที่กุมมือผมไว้ ผมรู้ว่ามันก็ไม่ได้จะไม่แคร์ผมหรอก แต่ทำไมถึงลืมได้ แค่ยาพาราเม็ดเดียว ถ้าผมไม่สั่งสอนครั้งนี้ครั้งหน้าก็ต้องมีลืมอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆแน่ ผมจะโกรธจนกว่านัทจะจำได้ ผมจึงขืนมือออกจากมือใหญ่ที่กอบกุมมือผมไว้ นัทหันมามองหน้าผม แต่ผมกลับเฉไปทางอื่น แล้วมันก็ยังคงไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม




ในที่สุดรถตู้ก็มาจอดที่หน้าโรงแรม ผมเดินลงจากรถคว้ากระเป๋าแล้วเดินไปเอากุญแจห้องที่พี่มะเดี่ยวผู้จัดการวง แล้วก็ขึ้นห้องไป

มาถึงห้องพักผมก็จัดการถอดคอนแทคเลนส์ แล้วล้างหน้าเพื่อลดความร้อนบริเวณหน้าและหน้าผาก จนได้ยินเสียงเปิดประตู ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นใคร ผมเลยเดินออกจากห้องน้ำ หยิบแว่นที่อยู่ในกระเป๋าสะพายขึ้นมาใส่ แต่ก็หันหลังให้มัน

“ซินวันนี้เป็นไรอ่ะ ไม่ค่อยพูดเลย”นัทพูดพลางถอดร้องเท้าผ้าใบ

“......................”ก็เพราะโกรธแกไงล่ะ แล้วผมก็ตอบมันแค่ในใจ

“ซิน เป็นไร วันนี้เป็นไรวะ พูดน้อย กินข้าวก็น้อยด้วยนิ่ ใช่มั้ย?”

“........................”ใช่พูดน้อย กินน้อย ก็ปวดหัวนี่หว่า พูดมาถึงตรงนี้แล้วแกยังคิดไม่ออกอีกเหรอว่าทำไม

“เออ..ซิน อยู่ตรงนั้นเปิดทีวีให้หน่อยดิ”เฮ้ยนัทนี่แกจะไม่รู้จริงๆเหรอ ไม่ไหวแล้วนะ ไม่ไหวแล้วจริงๆนะเว้ย
ในที่สุดผมเองก็ทนไม่ไหวปล่อยน้ำตาเป็นเขื่อนแตกเลย ผมปวดหัวมากๆ แต่มันกลับไม่รู้เรื่องแถมยังใช้ให้เปิดทีวีอีก รู้ว่าทีวีมันไม่ได้อยู่ไกล แต่ ....ไม่รู้ล่ะครับ ผมร้องไปแล้ว ร้องจนตัวคงสั่น ผมรู้สึก เพราะผมต้องกลั้นเสียงแล้วก็กลั้นความปวดของหัวตัวเองด้วย


ส่วนไอ้ตัวต้นเหตุมันคงเห็นแล้วล่ะครับว่าผมตัวสั่นเทิ่มมันเลยลุกพรวดขึ้นมาจับผมหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับมัน ผมไม่อยากมองหน้า ไม่อยากสบตา ไม่อยากเห็นเครื่องหมายquestionmark ผมรู้ว่ามันต้องเป็นแบบนั้น ผมเลยหลบตา กดหน้าให้ต่ำที่สุด นัทดึงแว่นตาผมออก แล้วใช้มือทั้งสองประคองหน้าผมไว้ให้เราประสานตากัน

“ร้องทำไม” ผมไม่ตอบแต่กลับจ้องตามันกลับ

“ถ้าซินไม่บอก นัทจะรู้มั้ยว่าซิน ร้องทำไม” เป็นมันที่หลบตาผมอีกครั้ง แต่ปากก็ยังถามต่อ

“นัท......ซินขอยาพารานัทตั้งแต่ตอนกินข้าวแล้วใช่มั้ย ซินปวดหัวมากๆ แล้วนัทก็ลืมใช่รึเปล่า นัทไม่ใส่ใจเลยอ่ะ บอกตรงๆนะ น้อยใจว่ะ มากๆด้วย ทำไมไม่ใส่ใจกันบ้าง ปวดหัวตั้งแต่ตอนกินข้าวแล้ว ตอนขึ้นโชว์ด้วย”ผมทนไม่ไหวจริงๆ พูดพลางก็ร้องพลาง แถมหัวก็ปวดมากว่าเดิมอีกจนยืนไม่ไหวต้องทรุดตัวลงนั่งปลายเตียงเอามือกุมขมับ หลับตาปี๋ ไล่ความเจ็บปวด

ผมไม่รู้ว่านัทออกจากห้องไปตอนไหนเพิ่งจะได้ยินเสียงตอนเปิดประตูเข้ามาอีกที เห็นท่าทางหอบแห่กๆเป็นหมาหอบแดดก็รู้แล้ว ผมก็หลุดหัวเราะออกมาทั้งยังปวดหัวอยู่น่ะล่ะ

“ซิน พารา เอา2เม็ดเลย จะได้หายไวๆ”นัทหยิบแก้วใส่น้ำและยื่นยามาให้ ทั้งที่ตัวเองก็ยังหอบอยู่ ผมตอบขอบคุณแล้วก็กินยา พอกินเสร็จผมก็กลับมานั่งหัวเราะอีก ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน จะร้องทำไม แค่บอกนัทไปอีกรอบว่าจะเอายา แค่นี้ก็จบ ไม่ต้องทนปวดอยู่ตั้งนานสองนาน

“หัวเราะอะไรอีกล่ะ ยาออกฤทธิ์เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ”นัทหันมาถามเมื่อเอาแก้วไปเก็บ

“เปล่าหรอก ขำตัวเอง ร้องทำไม”ผมบอกทั้งๆที่ยังหัวเราะอยู่

“นั่นดิ ไอ้เราก็ตกใจหมด”มันตอบก่อนจะมานั่งข้างๆผม แล้วเอามือมาอังที่หน้าผาก

“งั้นไปอาบน้ำก่อนนะ ง่วงแล้ว”ผมลุกขึ้นยืนเตรียมจะไปห้องน้ำ แต่กลับโดนคว้ามือไว้

“ซิน ปวดหัวอยู่เค้าต้องเช็ดตัว เดี๋ยวไม่สบาย มาม่ะ เดี๋ยวนัทเช็ดตัวให้นะ”เสียงออดอ้อนประหลาดๆแบบนั้นใครมันจะไปอยากให้เช็ดล่ะ ผมรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำล็อกกลอนอย่างแน่นหนา แต่ก็อดยิ้มกับความไม่เอาไหนของเราทั้งคู่ไม่ได้

พอผมอาบน้ำเสร็จก็ขอไปเฝ้าพระอินทร์เลยแล้วกัน พรุ่งนี้จะได้หายปวดหัว เพราะฤทธิ์ยาด้วยล่ะมั้งทำให้หลับง่ายเข้าไปใหญ่ แต่ถึงอย่างไรผมก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างมาสัมผัสแก้มผมเหมือนทุกคืน แม้ว่าสัมผัสนั้นจะบางเบาแต่ก็รู้ว่ามันเป็นความจริงไม่ใช่ความฝันแน่นอน



ค่อยๆรักกันเบาๆ
*****************************************************

แย่ๆๆ ฟิคครั้งแรกกกก เหนื่อยมาก ฉลองปิดเทอม

วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2554

วงสุดฮอต Singular

ศิลปิน Singular





แนวเพลง Pop

Singular วงดนตรีที่เกิดจากส่วนผสมของสองศิลปินหน้าใหม่ ที่หลงรักในงานศิลปะและเสียงเพลง ต่างเส้นทางการเรียนรู้ ต่างสั่งสมประสบการณ์ในศาสตร์ทั้งสองแขนงมารวมหล่อหลอมจินตนาการเข้าด้วย กัน แล้วแต่งแต้มภาษาลงบนท่วงทำนองของดนตรี กับเสียงร้องอันละมุนละไม ของ
"Sin" (Vocal,Song-Writer) ที่เคยร่วมงานกับคณะประสานเสียงชื่อดังอย่าง La Salle Chorus และ Bangkok Opera และการถ่ายทอดผ่านเสียงกีต้าร์ที่พริ้วไหวของ "Nut" (Guitarist) ที่มีรางวัลชนะเลิศของ Yamaha มาการันตีความสามารถ จนได้ชิ้นงานในแบบของ Singular ที่กลมกล่อม หอม และ Chill ในสไตล์ Metro-Acoustic

ในโลกส่วนตัวของ ทั้งสองคนทั้ง "Sin" (Vocal,Song-Writer) และ "Nut" (Guitarist) ที่ใช้เวลาอยู่กับศิลปะและดนตรีมาตลอดชีวิตทั้งการเรียนรู้ ฝึกฝนด้วยตัวเอง และสั่งสมประสบการณ์ในเชิงลึก ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ

Singular จึงเป็นดูโอทางดนตรีคู่ใหม่ที่สอดแทรกขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองให้กับ "อุตสาหกรรมดนตรี" (เมืองไทย) ที่ทั้งสองคนรักมากที่สุด ได้ขับเคลื่อนไปข้างหน้า และเป็นอีกทางเลือกที่โดดเด่น ในฐานะศิลปินอินดี้หน้าใหม่ที่เท่ เซอร์มีฝีมือ เพลงเพราะและมีคุณภาพ

เพลง 24.7 (Twentyfour-Seven) 24 ชั่วโมง 7 วัน
จากวังวนความคิด คำนึงถึงใครคนหนึ่ง ที่ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้
บางคน...มีความสุขที่ ได้คิดถึง
แต่สำหรับบางคน...กลับต้องทรมานกับการรอคอย

ความเหงา เศร้าแต่สวยงามในเพลงนี้ถูกถ่ายทอดด้วยเนื้อร้องและทำนองที่สละสลวย กลั่นกรองออกมาจาก "Sin" (ร้องนำ) และเมื่อได้ผสานเข้ากับดนตรีที่มีพื้นเป็น Bossanova กับกลิ่นอายของดนตรี Jazz ที่ "Nut" (กีต้าร์) ได้เรียบเรียงขึ้นมา ทำให้ 24.7 (Twentyfour-Seven) เป็นซิงเกิ้ลเปิดตัวที่จะทำให้ทุกคน รู้จักพวกเขาเป้นครั้งแรก และบ่งบอกความเป็น Singular ได้ ชัดเจนที่สุด

ทศพร อาชวานันทกุล (Sin)
DOB 1 October 1985
Background Information
Occupations
- Singer-songwriter
- Graphic Desiger
Educations
-ปริญญา ตรี เกียรตินิยมอันดับ 2 สาขานิเทศศิลป์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
โชติวุฒิ บุญญสิทธิ์ (Nut)
DOB 12 August 1986
Background Information
Educations - 2005-2008 ปริญญาตรี คณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกดุริยางคศาสตร์สากล เอกเครื่องดนตรี กีต้าร์ แจ๊ส มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ




ที่มา : http://www.you2play.com/singular/bio/





เพลงที่ ดังเป็นพรุแตก จนกลายเป็นคำลงท้ายในหมู่วัยรุ่น